บทความวศิลป์เขียน

บริษัทให้อะไรกับเรา เราจงให้สิ่งนั้นกลับไป

ช่วงนี้ผมมาสายทุกวัน เนื่องจากหลายๆงานที่ทำด้านนอก แน่นอนว่ามันผิด หากเกิดอะไรขึ้น ผมก็ยอมรับในสิ่งที่ตามมา…
บริษัทให้อะไรกับเรา เราจงให้สิ่งนั้นกลับไป

หนึ่งในงานที่ทำนอกเวลาก็คือ การเปิดร้านสเต็กเล็กๆ ที่ศาลายา
จุดประสงค์ที่แท้จริง ไม่ใช่รายได้ที่เข้ามา แต่เป็นการสร้างงานให้แม่
เพราะแม่ อย่างที่ทราบกันเข้าผ่าตัดเมื่อเดือน มิถุนาที่ผ่านมา กว่าะพักพื้นก็ร่วม 2 เดือน
ร้านก๋วยเตี๋ยวในโรงงานแถวบ้านจึงต้องปิดไปโดยปริยาย (จริงๆกำไรน้อยมาก เพราะพนักงานน้อย)
ผมจึงต้องหาอะไรให้แม่ทำ เพื่อที่จะได้กระเทือนรายจ่ายผมให้น้อยที่สุด เลยทำร้านขึ้นมา

ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจลงทุนส่วนนี้ การผ่าตัดข้อเข่าของแม่ที่ศิริราช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 140,000 บาท ผมไม่วอรี่ เพราะมีเงินเก็บอยู่พอสมควร ก็จ่ายไป คิดเสียว่าเป็นค่าซ่อมบำรุง ของแม่

หลังจากนั้นอาทิตย์นึง ได้รับข่าวจากเพื่อนว่า บริษัทมีสวัสดิการช่วยเหลือส่วนนี้อยู่ ได้ 50%มั้งถ้าจำไม่ผิด โดยที่ได้ทุกคน
ผมจึงไปถาม Hr ได้รับคำตอบว่า กฏใหม่ของกองทุนช่วยเหลือครอบครัวคือ ถ้าพนักงานเงินเดือนสูงกว่า 2หมื่น ไม่สามารถใช้สวัสดิการณ์ส่วนนี้ได้ เนื่องจากเงินเหลือล้านกว่าๆ จึงต้องคัดกรองคนที่จะใช้สวัสดิการณ์ส่วนนี้ คนเงินเดือนเกิน 2 หมื่น น่าจะเป็นประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงิน

คำถามเกิดขึ้นมาว่า “คนเงินเดือนสูง มีภาระเยอะไม่ได้หรอวะ” “กูขยันตอนเรียน ศึกษาหาความรู้นอกเวลางาน เพื่ออัพตัวเองให้ได้เงินเดือนสูงๆ ทำให้กูพลาดโอกาศหรอวะ”
และ “เงินกองทุนเหลือล้านกว่าบาท มึงจะดองไว้อยู่อย่างงั้นหรอวะ” ทำไมไม่ฟังเหตุผลกันบ้าง

คำถามต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย พร้อมกับความคิดว่า เราต้องหาอะไรทำเพิ่ม เพื่อเอาตังส่วนที่เก็บไว้ลงทุนนี้กลับมาแล้วแหละ

เราเรียกร้องอะไรไม่ได้ บริษัทก็ไม่ใช่บริษัทของเรา กองทุนก็ไม่ใช่กองทุนของเรา

แต่สิ่งที่เราทำได้ คือสร้างงานที่เป็นของเราขึ้นมาได้
ความรู้สึกตอนนี้ ก็เหมือนหัวข้อบทความ …

บริษัทให้อะไรกับเรา เราจงให้สิ่งนั้นกลับไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *