เมื่อกลางเดือน ธค. ที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาศให้เป็นหนึ่งในทีมผู้สัมภาษณ์ผู้สมัครงานเป็นครั้งแรก ได้ข้อคิดที่อยากมาแชร์กัน
เมื่อกลางเดือน ธค. ที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาศให้เป็นหนึ่งในทีมผู้สัมภาษณ์ผู้สมัครงาน ของที่ผมทำงานอยู่ เป็นครั้งแรก
ที่ทำงานเปิดรับสมัครในตำแหน่ง “ผู้ประสานงานโครงการ” มาหน้าที่คร่าวๆคือ ประสานงานทุกๆอย่างในโครงการ จัดทำหนังสือราชการ จัดประชุม จัดทำงบ สิ่งต่างๆที่กล่าวมานั้น บอกได้เลยว่า จุกจิก ไม่ใช่งานยากแต่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งไม่ใช่ทางผมเลย
มีผู้สมัครและมาสัมภาษณ์ทั้งสิ้น 10 คน เริ่มตั้งแต่9.30 จนถึง 16.40 และข้อคิดที่ได้มีดังนี้

-เกียรตินิยมอันดับ 1 ไม่ช่วยอะไร
ผู้สมัครอยู่ 1 คน ที่มีเกียรตินิยมติดตัวมาด้วย แต่นอกจากนั้น สกิลในการทำงานไม่ทราบอะไรเลย เท่าที่สัมภาษณ์ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถ อีกทั้งความมั่นใจยังไม่มีสมกับที่ได้รับ เกียรตินิยมอันดับ 1 มา
จริงอยู่ว่าเกียรตินิยมอันดับ 1 ไม่ได้การันตรีว่าทุกอย่างจะต้อง perfect แต่อย่างน้อย ความมั่นใจก็น่าจะมีมากกว่านี้

– ที่เก่าทำอะไรบ้างต้องรู้
มีผู้สมัครอยู่ท่านหนึ่ง เบื้องต้นแจ้งว่าทำงานเป็นผู้ประสานงานโครงการ แต่พอถูกทีมสัมภาษณ์สอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดตัวงาน กลับตอบไม่ได้ สุดท้ายโดนในทีมถามๆเข้า ผมมีความรู้สึกว่า เขาเป็นแค่ผู้ช่วย หรือแค่ธุรการในการทำโครงการเสียมากกว่า
– อะไรก็แล้วแต่ ความมั่นใจต้องมาเต็ม 100
มีผู้สมัครบางคน มีความมั่นใจที่เต็มร้อยมาจากบ้าน ความสามารถในตัวงานผมให้เต็มที่ก็เกินครึ่งมาหน่อยเดียว แต่การพูดคุย การสบตา การตอบคำถาม สามารถทำให้ทีมสัมภาษณ์ตั้งใจฟังได้เป็นอย่างดี พูดจาฉะฉาน แม้สัมภาษณ์เสร็จ เรายังต้องพูดถึงคนๆอยู่เลย ถือว่าเป็นที่จดจำ

– เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานต้องมี
ผลงานในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปภาพ หรือใบ cert อะไรทั้งนั้น แต่เป็นคำพูดที่เรียบเรียงมาให้เข้าใจง่าย บอกเล่าถึงสิ่งที่เคยทำ ปัญหาที่เคยพบ และวิธีการแก้ไขปัญหา ตอนสัมภาษณ์เกี่ยวกับสมมุตเหตุการณ์ว่างานมีปัญหา มีผู้สมัครอยู่ท่านนึง ใช่คำว่า จะมี Logic เพื่อแก้ปัญหา เป็น A กับ B มาถึงตรงนี้ทีมสัมภาษณ์ชอบมาก เป็นที่จดจำ และสุดท้ายก็เลือกคนนี้เป็นผู้ผ่านการสัมภาษณ์ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการ ถึงแม้ไม่ครบถ้วน แต่จากที่สัมภาษณ์มา น่าจะพร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
จากที่ว่ามาทั้งหมด ผมได้เรียนรู้อะไรต่างๆมากมายในการเป็นผู้สัมภาษณ์ผู้สมัครครั้งนี้
คนได้ค่าตอบแทนน้อยกว่าเราเป็นเท่าๆ เขายังฝ่าฟันสู้ แอคทีฟตัวเองให้ได้งาน
“บางคนถึงขั้นบรรยายบรรยากาศที่ทำงานเก่า แล้วร้องไห้ออกมา ด้วยความกดดันในที่ทำงาน และความoverlloadของงานที่เจออยู่”
แล้วเราที่ทำงานด้านไอทีตรงนี้ ได้ค่าตอบแทนเยอะกว่าเขา ทำไมถึงต้องมานั่งเบื่องาน มันทำให้คิดได้ว่า ผมต้องขยันๆๆๆ เท่านั้น ไม่ใช่ขยันเพื่อให้คุ้มกับค่าตอบแทนที่เราได้รับ
แต่เป็นการขยัน เพื่อที่เตือนตัวเองว่า คนที่มีน้อย ได้รับน้อยกว่าเรา ยังขยัน แล้วทำไมเราถึงไม่ขยัน
หากวันหนึ่งวันใด เราหมดสิ้นทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง,งาน,เงิน แต่สุดท้าย ความขยันก็จะยังติดอยู่กับเรา ทำให้เรายืนอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันใบนี้ได้ต่อไป